





เริ่มแรกกลุ่มนี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อบุคคล Autistic โดยมี ครูต้อย (นฤมล ตันติสัจจธรรม) ซึ่งสอนศิลปะให้เด็กพิเศษมามากกว่า 4 ปี เป็นผู้รวบรวมผู้ปกครองที่ทุ่มเทเรื่องพัฒนาการและมุ่งหวังหาแนวทางเพื่อให้ลูกสามารถเดินก้าวต่อไปอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
เดิมทีชื่อของกลุ่ม คือ MBH Austistic แต่ต่อมามีสมาชิกหลากหลายมากขึ้น ทั้งบุคคลธรรมดา , CP (Cerebral Palsy สภาวะพิการทางสมอง , กล้ามเนื้ออ่อนแรงและเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่สนใจเรียนเข้าร่วมในกลุ่ม จึงเปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็น MBH Made By Heart
โดยมีจุดประสงค์ คือ การนำศิลปะมาช่วยให้มีพัฒนาการที่ดีขึ้นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นเด็กพิเศษ ศิลปะชนิดนี้เรียกว่า "ศิลปะบำบัด"
ปัจจุบันมีผู้ดูแล 2 ท่าน มีคุณครูต้อย (นฤมล ตันติสัจจธรรม) และ คุณติ๋ม (มาลินี สงวนสัตย์)
สำหรับเด็กพิเศษ
เมื่อกล่าวถึงศิลปะการวาดภาพในเมืองไทย ภาพที่ผุดขึ้นมาในความคิด คือ การวาดให้เหมือน ประโยคที่คุ้นหูคือ "เหมือนมากเลย" หรือ "ไม่เหมือนเลย"










ผลงานของครูต้อย
ศิลปะที่เราจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นศิลปะสำหรับคนยุคใหม่ที่เข้าใจถึงประโยชน์ในการวาดภาพที่ตรงเป้าประสงค์มากขึ้น การวาดภาพนั้น คือ การเล่าเหตุการณ์ออกมาเป็นภาพ หรือการสื่ออารมณ์ของผู้วาดเพื่อให้ผู้ชมรับรู้ จนถึงการใช้ศิลปะมาบำบัดเพื่อปรับพฤติกรรม
จากประสบการณ์ตลอด 4 ปีที่สอนเด็กพิเศษ สิ่งที่น่าภูมิใจมากที่สุด นอกจากที่ได้เสพศิลปะอย่างมีความสุขทุกวัน จากการที่ได้เห็นผลงานของเด็กๆ ที่หลากหลาย ยังได้รับพลังบวกอย่างเต็มล้น สิ่งที่งดงามที่สุด คือ รอยยิ้มของเด็กๆที่สามารถยิ้มได้ด้วยตัวเองอย่างมีความสุข ไม่ได้เกิดจากการถูกสั่ง เด็กที่ไม่ยอมพูดกับใครๆ กลับมาสื่อสารกับคนรอบข้างได้ เด็กที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง กลับอยู่นิ่งมากขึ้น
ครูขอเล่าในฐานะครูที่ได้พบเห็นด้วยตนเอง เพราะครูไม่ใช่นักบำบัด หรือนักจิตวิทยา ครูอยากบอกเล่าวิธีสอนแบบง่ายๆตามประสาครูสอนศิลปะเท่านั้น จะไม่วาดภาพด้วยการขึ้นโครง แล้ววัดขนาดสัดส่วน แต่จะมาวาดจากภายในที่เรารับรู้ มาดูขั้นตอนในการฝึกให้เด็กๆของเราสื่อสารออกมาเป็นภาพโดยไม่ผ่านกระบวนการวาดให้เหมือนจริง



วิธีการที่ครูใช้ แบ่งเป็น
1. วาดจากการฟัง
เช่น การเล่านิทาน ประสบการณ์ หรือฟังจากเครื่องมือสื่อสาร
2. วาดจากภาพต้นแบบที่เตรียมไว้ หรือที่เด็กสนใจ
(แต่ละภาพต้องเหมาะกับแต่ละบุคคล)
ภาพต้นฉบับจะเป็นตัวตั้งต้นที่จะให้เด็กคิด เป้าหมายไม่ได้ให้ลอกแบบ จะเหมือนไม่เหมือนนั้นไม่สำคัญ แต่การได้เริ่มต้นลงมือวาดภาพเป็นส่วนสำคัญที่สุด






3. ให้กำลังใจ
ส่วนนี้เป็นส่วนที่สำคัญไม่แพ้การเริ่มต้น เป็นส่วนที่ความคิดสร้างสรรค์จะดำเนินต่อจนจบหรือไม่ พลังอาจจะออกมาเป็นบวกหรือลบ

4. สอนเทคนิคเพิ่มเติม
ผู้สอนมีหน้าที่สอนเทคนิคเพิ่มเติมให้แก่เด็ก เด็กๆจะตัดสินใจใช้ในงานหรือไม่นั้น ไม่มีคำว่าผิดหรือถูก





5. เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม
ผู้สอนกับผู้ปกครองมีหน้าที่เตรียมหาอุปกรณ์ที่ใช้ในการวาดภาพให้พร้อม เพื่อผู้เรียนพร้อมที่จะสร้างชิ้นงาน



6. ผู้วาดมีการฝึกตามขั้นตอนอย่างสม่ำเสมอ
จากประสบการณ์การสอน เด็กๆต้องฝึกตามขั้นตอนอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง ไม่ต่ำกว่า 6 เดือนโดยเฉลี่ย ถ้าหยุดกลางคัน เด็กๆจะขาดทักษะและต้องเริ่มต้นใหม่ทุกครั้ง
7. ผู้สอนต้องให้อภัยเสมอ
ปรับพลังลบให้เป็นบวกแล้วจะพบว่าเด็กของเรามีศักยภาพที่มีพลังมากกว่าที่คาดหมาย
ครูก็หวังว่าผู้สอนทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่และคุณพ่อจะได้ประโยชน์จากประสบการณ์เล็กๆของครูบ้างนะคะ และหวังว่าเด็กๆพิเศษของเราทุกคนจะได้มีโอกาสเปิดโลกศิลปะที่ทรงพลังนี้
ด้วยรัก
ครูต้อย
(ผู้หลงใหลงานศิลปะของเด็กพิเศษ)


โรคออทิสติก เป็นความผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาทที่มีอาการแสดงเฉพาะ ซึ่งประกอบไปด้วยความบกพร่องหลัก 2 ด้าน ได้แก่ ความบกพร่องของทักษะทางสังคมและการสื่อสารร่วมกับมีพฤติกรรมผิดปกติ แสดงอาการมากน้อยขึ้นอยู่กับความรุนแรง เช่น เด็กที่มีความรุนแรงน้อยอาจมองหน้าสั้นๆ หันเมื่อถูกเรียกชื่อ มีปฏิสัมพันธ์บ้าง แต่ในเด็กที่มีอาการรุนแรงมากกว่า อาจจะไม่มองหน้า ไม่สบตา ไม่มีความพยายามให้บุคคลอื่นสนใจในสิ่งที่เด็กสนใจ สีหน้ามักเรียบเฉย ความบกพร่องด้านสังคมและการสื่อสารเป็นอาการหลักร่วมกับการมีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น แสดงพฤติกรรมเฉพาะซ้ำๆ เช่น สะบัดมือเมื่อดีใจ หมุนตัว เดินเขย่งเท้า หรือทำเสียงซ้ำๆ ที่ไม่มีความหมายหรือเป็นประโยคที่เคยได้ยินผู้ใหญ่พูด หรือจำมาจากการ์ตูน รายการยูทูปต่างๆ โดยไม่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ขณะนั้น มีความสนใจเฉพาะบางเรื่องในระดับที่มากเกินปกติจนดูเหมือนหมกมุ่นกับเรื่องนั้นๆ ในขณะเดียวกันกลับขาดความสนใจที่จะเรียนรู้สิ่งอื่นๆ ที่จำเป็น บางคนต้องทำกิจวัตรบางอย่างเป็นลำดับขั้นตอนซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ยาก เช่น ต้องเดินทางด้วยเส้นทางเดิม มีขั้นตอนการเคลื่อนไหวรูปแบบเดิม นอกจากนี้ยังพบความบกพร่องด้านการรับรู้ประสาทสัมผัสบูรณาการได้บ่อย เช่น กลัวเสียงบางอย่างที่มากเกินจริง เช่น กลัวเสียงมอเตอร์ไซค์ เครื่องซักผ้าทำงาน ไดร์เป่าผม ในขณะที่ไม่กลัวเสียงดัง ไม่รู้สึกเจ็บเมื่อหกล้มหรือเป็นแผล และไม่มาหาพ่อแม่เพื่อให้ปลอบ เป็นต้น ลักษณะอาการดังกล่าวของโรคออทิสติกส่งผลกระทบต่อพัฒนาการ ความสามารถในการเรียน และการดำรงชีวิตของเด็ก รวมถึงครอบครัวเป็นอย่างมาก
ปัจจุบันผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยโรคออทิสติกมีแนวโน้มสูงขึ้นทั่วโลก ถึงแม้ว่ายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และยังไม่มีวิธีการรักษาที่ทำให้หายขาด แต่การวินิจฉัยตั้งแต่อายุน้อย ได้รับการบำบัด ฟื้นฟูแบบบูรณาการอย่างต่อเนื่อง มีเพียงส่วนน้อยที่ต้องการความช่วยเหลือเฉพาะด้าน ดังนั้นการได้รับการดูแลที่เหมาะสมจากครอบครัวจะช่วยให้เด็กกลุ่มนี้มีอาการดีขึ้น เป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยสามารถอยู่ร่วมในสังคมได้ เนื่องจากการดูแลเด็กออทิสติกหนึ่งคนต้องใช้ความทุ่มเทและเวลาของผู้ดูแลเป็นอย่างมาก ดังนั้น สมาชิกในครอบครัวทุกคนจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลช่วยเหลือเด็กและเป็นแรงเสริมให้กันและกัน ผู้ดูแลเด็กควรมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค การดูแลรักษา ปัญหาที่พบบ่อยในแต่ละช่วงพัฒนาการและโรคร่วมต่างๆ ความรู้ต่างๆ ดังกล่าวอาจศึกษาได้จากแพทย์ผู้รักษาเป็นหลัก และอาจค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมจากเพจที่เชื่อถือได้ การยอมรับและเริ่มฝึกเด็กตั้งแต่เริ่มวินิจฉัยจะส่งผลดีต่อระดับพัฒนาการและความสามารถในการอยู่ร่วมในสังคมมากกว่าการแสวงหาการวินิจฉัยไปเรื่อยๆ นอกจากนี้อาจเข้าร่วมในกลุ่มผู้ปกครองซึ่งจะช่วยเสริมพลังซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี
การดูแลเด็กออทิสติกแบบองค์รวมประกอบด้วย
-
การส่งเสริมทักษะด้านสังคมอารมณ์
ทักษะด้านสังคมอารมณ์เป็นพื้นฐานของความต้องการมีปฏิสัมพันธ์และทักษะด้านภาษาและการสื่อสาร ประกอบด้วยความสามารถในการเข้าใจความต้องการ อารมณ์ ความรู้สึกของผู้อื่นและตนเอง สามารถปรับตัว ควบคุมการแสดงออกของอารมณ์ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ ดังนั้นจึงมีผลต่อความสำเร็จในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในอนาคต การส่งเสริมทักษะด้านสังคมอารมณ์มีหลากหลายวิธี โดยมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
1.1 การฝึกทักษะทางสังคมและการสื่อสารผ่านกระบวนการเล่น (Developments , Individual differences, Relationship-based (DIR) หรือ DIR/floortime) เป็นกระบวนการฝึกให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และสื่อสารกับผู้อื่นเพิ่มขึ้น ผ่านกระบวนการเล่นที่เด็กเป็นศูนย์กลางและเป็นการเล่นที่เด็กสนใจ พ่อแม่ควรเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับลูก ไม่ปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวหรืออยู่กับสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ไม่ให้ดูแท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ ทีวี คอมพิวเตอร์ แต่ควรไปพูดคุยกับเด็ก ไปเล่นกับเด็กให้บ่อยครั้งและแต่ละครั้งให้นานขึ้น ทั้งนี้จะช่วยทำให้เด็กออกจากโลกของตัวเอง และเริ่มสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นมากขึ้น ซึ่งจะนำมาสู่การพัฒนาทักษะการเข้าสังคมและภาษา
1.2 การฝึกทักษะสังคม (Social skill intervention) เมื่อเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้แต่ยังมีปัญหาด้านทักษะทางสังคม เช่น การแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับกาละเทศะ ไม่สามารถขอเล่นกับเพื่อน ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับเพื่อนได้ เด็กควรได้รับการฝึกทักษะสังคมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดภาวะทางจิตเวช เช่น ภาวะซึมเศร้าซึ่งเป็นผลมาจากความบกพร่องด้านสังคม เป็นต้น การฝึกทักษะสังคมอาจฝึกผ่านการจำลองเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ และให้เด็กทดลองปฏิบัติจนเกิดความชำนาญ หรือสอนให้จดจำรูปแบบบทสนทนาในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้เด็กนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน หรือฝึกกลุ่มกับเด็กที่มีระดับพัฒนาการเดียวกันซึ่งจะเป็นการจัดการความขัดแย้งในสถานการณ์จริง หรือผ่านนิทานเสริมทักษะสังคม (social story)
1.3 นิทานเสริมทักษะสังคม (Social story) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กเข้าใจสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นและวิธีการปฏิบัติตัว ในรูปแบบนิทานที่เด็กเป็นตัวเอกของเรื่อง มีภาพเหตุการณ์สมมติที่เด็กพบและมีหรืออาจมีปัญหาการปรับตัว และความร่วมมือมีคำบรรยายสั้น ๆ และเน้นที่วิธีการปฏิบัติตนที่เหมาะสมในสถานการณ์นั้นๆ เช่น หากเด็กร้องไห้ทุกครั้งที่ต้องพบทันตแพทย์ อาจมีภาพเกี่ยวกับขั้นตอนการพบหมอฟันและมีคำบรรยายสั้น ๆ ร่วมกับพฤติกรรมที่เด็กควรทำ เช่น “เมื่อเข้าไปในร้านหมอฟัน หนูจะอ้าปากให้คุณหมอส่องฟันโดยไม่ร้องไห้ นับ 1-10 คุณหมอก็จะดูฟันเสร็จแล้ว หนูก็จะได้ลูกโป่งและกลับบ้าน” เป็นต้น
2. กระตุ้นพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสาร เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการด้านภาษาใกล้เคียงกับเด็กวัยเดียวกันมากขึ้น ทำให้สามารถสื่อสารความต้องการ อารมณ์ของตนเองให้ผู้อื่นเข้าใจ ลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์และยังส่งผลดีต่ออารมณ์ของเด็กด้วย
2.1 ฝึกพูด (Speech therapy) สามารถฝึกได้ที่บ้านและกับนักวิชาชีพ หลักการของการส่งเสริมภาษาพูด ได้แก่
2.1.1 เลี่ยงการที่เด็กจะต้องอยู่คนเดียวหรืออยู่กับสิ่งไม่มีชีวิต เช่น แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ เนื่องจากสื่อผ่านจอดังกล่าวเป็นการสื่อสารทางเดียว และลดโอกาสที่เด็กจะได้ฝึกสื่อสารกับมนุษย์
2.1.2 เพิ่มคลังคำศัพท์ให้ลูก โดยการพูดบรรยายขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงการบรรยายอารมณ์ ความรู้สึกด้วย ทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับภาษา ได้แก่ อ่านหนังสือนิทานกับลูก ร้องเพลง
2.1.3 กระตุ้นให้เด็กสื่อสารบอกความต้องการ เช่น ทำท่างงเพื่อให้เด็กใช้ท่าทางสื่อสาร หรือพูดบอกความต้องการ หรือกระตุ้นการพูดผ่านการเล่น เช่น สร้างสถานการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดการสื่อสารขึ้น เช่น เวลาเล่นต่อจิ๊กซอว์ ก็อาจเอาไปซ่อนชิ้นหนึ่งเพื่อให้เด็กถามหา หรืออาจเอารองเท้าของคนอื่นมาให้เด็กใส่ เพื่อให้เด็กบอกว่า ไม่ใช่ หรือถามหารองเท้าของตนเอง เป็นต้น
2.1.4 เมื่อเด็กเริ่มสื่อสารเป็นคำเดี่ยว หรือประโยคสั้นๆ ให้พ่อแม่พูดตัวอย่างประโยคที่สมบูรณ์ให้เด็กฟัง เช่น เด็กพูด น้ำ พ่อแม่อาจขยายประโยคว่า “หนูหิวน้ำ จะกินน้ำ” เป็นต้น
2.2 การสื่อสารทางเลือก (Augmentative and Alternative Communication; AAC) เด็กที่มีข้อจำกัดด้านการพูด อาจพิจารณาการสื่อสารทางเลือกมาทดแทน เพื่อให้เด็กสามารถ บอกความต้องการของตนเองได้ ตัวอย่างเช่น โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture Exchange Communication System; PECS) หรือแอปพลิเคชันสำหรับการสื่อสาร (Communication application) เป็นต้น
3. ส่งเสริมทักษะการช่วยเหลือตนเอง เด็กทุกคนควรได้รับการส่งเสริมทักษะการช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวันต่างๆ ซึ่งนอกจากเป็นการส่งเสริมความสามารถในการดำรงชีพอย่างอิสระ พึ่งพาคนอื่นน้อยที่สุดแล้ว ยังส่งเสริมทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก การวางแผน การบริหารจัดการงานและเพิ่มความภาคภูมิใจในตัวเองอีกด้วย นอกจากการฝึกในชีวิตประจำวันแล้วบางกรณีอาจฝึกให้เด็กสามารถทำกิจวัตรหรืองานต่างๆ ได้จนสำเร็จด้วยตนเองด้วยภาพที่เรียกว่า (Treatment and Education of Autistic and related Communication handicapped Children; TEACCH) เช่น รูปขั้นตอนการขับถ่ายในห้องน้ำ ประกอบด้วย เปิดฝาชักโครก นั่งชักโครก ขับถ่าย ทำความสะอาดตนเอง ราดน้ำจนสะอาด และล้างมือ เป็นต้น โดยเด็กจะกำกับตนเองให้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ปรากฎในภาพจนสำเร็จ
4.การฝึกกิจกรรมบำบัด (Occupational therapy) เด็กออทิสติกอาจมีความบกพร่องด้านการใช้กล้ามเนื้อมือในการทำกิจวัตรประจำวัน หรือในการเขียน นักกิจกรรมบำบัดจะเป็นผู้กำหนดแบบฝึกหัดในการฝึกต่างๆ อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกทักษะด้านกล้ามเนื้อมือให้ลูกได้โดยหากิจกรรมที่เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็กต่างๆ เช่น ให้เด็กเปิดกล่องขนม ถือถุง หนีบไม้หนีบผ้า เป็นต้น และกิจกรรมที่ส่งเสริมการทำงานละเอียดของกล้ามเนื้อ เช่น ให้ขีดเขียน ระบายสี ตัด ฉีก แปะ ต่างๆ จะทำให้กล้ามเนื้อมือแข็งแรงขึ้น สามารถควบคุมเพื่อให้ทำงานได้ดีในกิจวัตรประจำวันและการดำรงชีวิตในสังคม นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างสมาธิ ทักษะการคิด และการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อด้วย โดยนักกิจกรรมบำบัดจะเป็นผู้ที่ประยุกต์ใช้กิจกรรมต่างๆ มาช่วยในการบำบัดเด็กตามสภาพปัญหาของแต่ละคน
5.การบูรณาการประสาทรับความรู้สึก (Sensory integration therapy; SI)
เด็กที่เป็นโรคออทิสติกส่วนหนึ่งมีการรับรู้ด้านประสาทสัมผัสไม่เหมาะสม อาจเป็นได้ทั้ง รับรู้ไวกว่าปกติ (hypersensitivity) รับรู้ต่ำกว่าปกติ (hyposensitivity) หรือต้องการแสวงหาประสาทสัมผัสบางอย่าง (sensory seeking) เช่น ได้ยินเสียงไดร์เป่าผมจะมีอาการหงุดหงิด ร้องอาละวาด หวาดกลัวในขณะที่เด็กปกติไม่มีอาการดังกล่าว เด็กบางคนชอบหมุนตัวหรือชอบให้พ่อแม่เหวี่ยงตัวเป็นวงกลมเนื่องจากต้องการรับความรู้สึกด้านการทรงตัวมากกว่าปกติ เป็นต้น ซึ่งหากเด็กมีปัญหาพฤติกรรมที่เกิดจากการรับรู้ด้านประสาทสัมผัสไม่เหมาะสมดังกล่าวเด็กควรได้รับความช่วยเหลือจากนักวิชาชีพในการฝึกการบูรณาการประสาทรับความรู้สึก (SI) เพื่อปรับการตอบสนองของเด็กให้เหมาะสม สงบและพร้อมเรียนรู้
6.การปรับพฤติกรรม (Behavioral intervention)
พ่อแม่ควรสังเกตว่าลูกแสดงพฤติกรรมใดเมื่ออยู่ในสถานการณ์ใด หรือเมื่อเจอสิ่งกระตุ้นใด เช่น กรีดร้องเมื่อได้ยินเสียงอื้ออึง หรือเสียงเฉพาะบางอย่าง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากกิจวัตรเดิมของเด็ก หรือเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรของตนเอง เนื่องจากพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นผลมาจากอาการของโรคที่ต้องการความช่วยเหลือ เช่น การกระตุ้นประสาทสัมผัสบูรณาการ (sensory integration therapy) การยึดติดเปลี่ยนแปลงได้ยากซึ่งต้องได้รับการกระตุ้นพัฒนาการด้านอารมณ์สังคม หรือข้อจำกัดด้านการสื่อสารซึ่งต้องมีการฝึกทักษะด้านภาษาและการสื่อสาร เป็นต้น การปรับพฤติกรรมที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ใช้หลักการเหมือนการปรับพฤติกรรมในเด็กทั่วไปได้แก่ การให้แรงเสริมเมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม ได้แก่ ยิ้มให้ ชมเชย ปรบมือให้ กอด ให้สติกเกอร์ ของเล่น เป็นต้น และลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ที่ไม่รุนแรงด้วยการเพิกเฉยหรือเบี่ยงเบนความสนใจ แต่หากมีพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น ทำลายของให้จับหยุดและบอกลูกสั้น ๆ เกี่ยวกับอารมณ์ที่ลูกมีและย้ำว่าทำเช่นนั้นไม่ได้ เช่น “หนูโกรธที่แม่รื้อรถไฟของหนู แต่หนูตีแม่ไม่ได้ แม่เจ็บ” แม้ว่าเด็กออทิสติกจะพูดได้น้อยคุณพ่อคุณแม่สามารถพูดคุย ให้เหตุผลสั้นๆ หรือตั้งกฎ กติกาในบ้านได้ เช่น ลูกต้องแปรงฟันก่อนนอนทุกวัน ไม่กินนมจากขวดเมื่อลูกมีอายุเกิน 18 เดือน เป็นต้น การตอบสนองต่อพฤติกรรมแต่ละอย่างด้วยความสม่ำเสมอ ปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันทั้งครอบครัวจะช่วยให้ลูกมีพฤติกรรมที่ดีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ของลูก ได้แก่ ด้านการสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ และทักษะการใช้ชีวิตประจำวัน ที่สำคัญคือช่วยลดระดับความเครียดของผู้ปกครองได้
7. การให้การศึกษาที่เหมาะสม (Educational intervention)
การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มทักษะพื้นฐานด้านสังคม การสื่อสาร และทักษะทางความคิด ซึ่งทำให้เกิดผลดีระยะยาว เด็กออทิสติกควรได้เรียนในหลักสูตรที่เหมาะสมความสามารถและระดับสติปัญญาของเด็ก หรือหลักสูตรที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาของเด็ก หลักสูตรดังกล่าว ได้แก่ การเรียนร่วมในโรงเรียนปกติ (ห้องเรียนคู่ขนาน หรือ ห้องเรียนปกติ) หรือการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โดยทั่วไปจะเน้นการส่งเสริมให้เด็กสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ ทำกิจกรรมร่วมกับเด็กปกติได้ โดยไม่ได้เน้นเพียงแค่การฝึกเพียงทักษะวิชาการอย่างเดียว
8. การรักษาด้วยยา (Pharmacotherapy)
ยาไม่สามารถรักษาอาการหลักของออทิสติกได้ แต่สามารถบรรเทาอาการของโรคร่วมหรือพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ได้แก่ พฤติกรรมหงุดหงิด ก้าวร้าว พฤติกรรมซ้ำๆ และซนอยู่ไม่นิ่ง เป็นต้น อย่างไรก็ตามหากเด็กที่มีอาการ ได้รับการปรับพฤติกรรมและฝึกพัฒนาการอย่างเหมาะสม แล้วสามารถลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์เหล่านี้ได้ การรักษาด้วยยาอาจไม่มีความจำเป็นสำหรับผู้ป่วยรายนั้น และเมื่อทานยาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทานต่อเนื่องไปตลอดชีวิตเช่นกัน แพทย์จะพิจารณาปรับขนาดยาหรือหยุดยา เมื่ออาการเป้าหมายทุเลาลงแล้ว
9. การตรวจติดตามต่อเนื่อง โรคออทิสติกเป็นโรคเรื้อรังจำเป็นต้องได้รับการติดตามเป็นระยะจนโตเนื่องจากเด็กยังคงมีความบกพร่องบางอย่างซึ่งส่งผลเสียต่อการเข้าสังคมในอนาคต มีโรคร่วมอื่นได้บ่อย เช่น สมาธิสั้น ภาวะความบกพร่องด้านการเรียนรู้และปัญหาทางจิตเวช เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า เป็นต้น
10. การรักษาเสริมและการรักษาทางเลือก (Complementary and Alternative Medicine; CAM)
ปัจจุบันมีการรักษาเสริมหลายรูปแบบ เช่น การบำบัดด้วยการให้ออกซิเจนความดันสูง (hyperbaric oxygen therapy) การให้กรดไขมันจำเป็น (omega-3 fatty acids) การให้วิตามินบี12 หรือการงดอาหารบางประเภท (gluten-free/ casein-free diet) อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานยืนยันประโยชน์ของการรักษาด้วยวิธีเหล่านี้
ถึงแม้ว่าโรคออทิสติกอาจยังไม่มีวิธีการรักษาที่ทำให้หายขาด แต่การที่เด็กได้รับการรักษาที่เหมาะสม และได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ช่วยเหลือตัวเองได้ และอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข
นพ. ประกาศิต วรรณภาสชัยยง
รศ. พญ. สุรีย์ลักษณ์ สุจริตพงศ์
สาขาวิชาพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก
ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ข้อมูลอ้างอิงจาก:
1. สุรีย์ลักษณ์ สุจริตพงศ์, รวิวรรณ รุ่งไพรวัลย์, ทิพวรรณ หรรษคุณาชัย, บานชื่น เบญจสุวรรณเทพ, อดิศร์สุดา เฟื่องฟู, จริยา จุฑาภิสิทธิ์, พัฏ โรจน์มหามงคล. ตำราพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก เล่ม 4. กรุงเทพฯ: พี.เอ. ลีฟวิ่ง; 2561
2. Hyman SL, Levy SE, Myers SM, AAP COUNCIL ON CHILDREN WITH DISABILITIES, SECTION ON DEVELOPMENTAL AND BEHAVIORAL PEDIATRICS. Identification, Evaluation, and Management of Children With Autism Spectrum Disorder. Pediatrics. 2020; 145(1):e20193447
3. Long M, Brown KR. Autism Spectrum Disorder. Pediatr Rev. 2021; 42(7): 360-374






